คนเราทุกคนเหมือนกันที่บางครั้งเรารู้สึกว่าตัวเองไม่มีสมาธิกับสิ่งรอบๆ
ตัวเอาเสียเลยความรู้สึกนี้บางทีเกิดขึ้นเป็นเวลาหลายวัน บางทีหลายสัปดาห์
หรืออาจจะหลายเดือนเลยก็ได้ ในช่วงเวลา 1 นาทีขณะที่คุณกำลังอ่านข้อความบน online อยู่ มือคุณก็เริ่มทำงานชิ้นต่อไปเช่นการพิมพ์ e-mail ไปพร้อมๆ กัน และก่อนที่คุณจะพิมพ์ e-mail เสร็จ
คุณก็ได้รับข้อความ MSN จากเพื่อนร่วมงานว่า
ให้เช็คราคาในตลาดหุ้นซิ หรือให้คุณช่วยโน๊ตข้อความเอาไว้ว่า จะมีการประชุมครั้งต่อไปเมื่อไร
ผลสรุปสุดท้ายก็คือ ไม่มีงานชิ้นไหนที่ทำเสร็จสมบูรณ์เลยสักชิ้นเดียว
แต่ทั้งหมดนั่นก็ไม่ใช่เกิดจากความผิดของคุณทั้งหมดหรอก จากงานวิจัยพบว่า จริงๆ แล้ว
มีสาเหตุมากมายที่ทำให้คนเราเกิดความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นในอารมณ์
เริ่มตั้งแต่สาเหตุจากการใช้ยาไปจนถึงสัญชาติญาณทางธรรมชาติ ข่าวดีก็คือว่า
ขณะนี้พบวิธีการที่สามารถพัฒนาให้คนเรามีสมาธิกับสิ่งรอบตัวได้แล้ว
จริงๆ แล้วพบว่า การพัฒนาความสามารถในการโฟกัสใจ
มีประโยชน์มหาศาลทางด้านเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น นักวิจัยพบว่า
คนที่มีความบกพร่องในการโฟกัสใจของตัวเองในการทำงานจะทำให้สูญเสียปริมาณงานที่ควรจะทำได้คิดแล้วเท่ากับ
1 เดือนในระยะ 1 ปีทีเดียว เมื่อเทียบกับคนไม่มีความบกพร่องดังกล่าว
จากการสำรวจยังพบอีกว่า ในปี 2005
ความบกพร่องในการโฟกัสใจในการทำงานทำให้ต้องสูญเสียรายได้ต่อครัวเรือนไปทั้งหมดคิดเป็นเงิน
77 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
แต่โดยเฉลี่ย คนที่ไม่ได้มีความบกพร่องในเรื่องการโฟกัสใจ
ก็ไม่ได้สามารถมีสมาธิในการทำกิจกรรมต่างๆ ดีนักในปัจจุบัน ตัวเลขสถิติจากบริษัทให้คำปรึกษาชื่อ Basex ในนิวยอร์ก แสดงให้เห็นว่า สิ่งต่างๆ ที่เป็นการรบกวนในที่ทำงาน
เช่น เสียงโทรศัพท์มือถือ และ e-mail ที่เข้ามาจำนวนมากในชั่วโมงทำงาน สามารถสร้างความอลหม่านให้กับสภาพสมาธิของใจในการทำงานของคนเราได้
ซี่งสิ่งรบกวนดังกล่าวคิดเป็นตัวเลขได้ประมาณ 28% ของวันทำงานของคนอเมริกัน
ตีค่าเป็นตัวเงินได้ถึง 650 พันล้านต่อปีในเชิงการผลิต
“ถ้าสมาธิในการทำงานของคุณถูกรบกวนบ่อยๆ
มันจะทำให้คุณต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่กับเรื่องที่คุณกำลังคิดหรือทำอยู่บ่อยๆ”
เดเนียล แอนเดอร์สัน ศาสตราจารย์ของภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยแมสซาชูเซสส์
กล่าว
“ในสถานการณ์เช่นนั้นทำให้คุณสูญเสียวินาทีที่มีค่าในการคิดไปและนั่นอาจจะทำให้คุณสูญเสียมุมมองพื้นฐานบางอย่างไปอีกด้วย”
มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ก็ยังไม่ได้มีการศึกษามากนักในการยืนยันว่า
อะไรเป็นสิ่งที่กำหนดระยะเวลาสั้นหรือยาวของสมาธิในการทำงานของคนเรา แอนเดอร์สันกล่าวว่า
การเลี้ยงดูในวัยเด็กน่าจะมีบทบาทอันสำคัญในเรื่องนี้ของคนเรา หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า
เรื่องการมีสมาธิในการทำงานของคนเรานี้อยู่ในวิสัยของมนุษย์ในระดับใดระดับหนึ่งที่จะฝึกให้มีได้
ถ้าเราได้เรียนรู้และฝึกตั้งแต่อยู่ในวัยเด็ก งานวิจัยได้แสดงให้เห็นว่า
ปริมาณความยุ่งเหยิงในบ้านและความบ่อยของพ่อแม่ในการรบกวนลูกในขณะที่ลูกกำลังเล่นอยู่นั้น
คือแทนที่จะปล่อยให้ลูกมีสมาธิในการเล่นของเขาเองอย่างต่อเนื่อง
สามารถเป็นอันตรายต่อการพัฒนาการทางสมาธิของเด็กได้
หรือการรบกวนสมาธิเด็กในขณะที่เด็กกำลังทำข้อสอบแบบที่ต้องใช้วิจารณญาณ
ซึ่งต้องการการมีสมาธิในการทำอย่างต่อเนื่องก็เช่นกัน
ผลงานของแอนเดอร์สันเองที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร Child Development แสดงให้เห็นว่า ในขณะที่เด็กอายุตั้งแต่ 3
ปีลงไปกำลังเล่นของเล่นอยู่ แล้วในขณะเดียวกันก็เปิดรายการเกมส์โชว์
Jeopardy ไปด้วย ระยะเวลาของสมาธิของเด็กในการสนใจเล่นของเล่นนั้นๆ
จะสั้นลงครึ่งหนึ่ง เปรียบเทียบกับเด็กที่กำลังเล่นของเล่นในสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีเกมส์โชว์ดังกล่าวเปิดอยู่
โดยสรุปก็คือ สมาธิของเด็กในของเล่นลดลง 25%
เมื่อเล่นในขณะที่เปิดโทรทัศน์อยู่ด้วย
แล้วจะรักษาสมาธิไว้ได้อย่างไร
ในขณะที่เป็นไปไม่ได้ที่เราจะหมุนเวลากลับไปเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง
แต่เราก็มีหลายวิธีการที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพของสมาธิในการทำงานของคนเราได้
ชิ้นงานการศึกษาชิ้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน
ตีพิมพ์เมื่อต้นปีนี้ในนิตยสาร PLoS Biology แสดงให้เห็นว่า เรื่องนี้การฝึกสมาธิช่วยได้
อาสาสมัครของเราที่เข้าร่วมในงานวิจัยในครั้งนี้
เมื่อได้ผ่านคอร์สสมาธิวิปัสสนาแบบของอินเดียโบราณเป็นเวลา 3 เดือน
พวกเขาพิสูจน์ว่า เมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับสิ่งรบกวนต่างๆ ในที่ทำงาน พวกเขาก็ยังสามารถหาตัวเลขที่ต้องการเจอได้
ในขณะที่บนโต๊ะมีจำนวนจดหมายมากมายส่งเข้ามาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา
ในทำนองเดียวกัน ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียและสถาบันแซนต้า
บาร์บารา ซึ่งกำลังทำการศึกษาเรื่องจิตศึกษาอยู่ ก็คาดหวังว่า สมถสมาธิ
ซึ่งเป็นของศาสนาพุทธ
จะต้องให้ประโยชน์บางอย่างกับผู้ที่ได้เข้าร่วมคอร์สฝึกปฏิบัติเป็นระยะเวลา 3
เดือนที่ Shambhala
Mountain Center ในโคโลราโดอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ยังมีผลงานการศึกษาอื่นๆ ที่แสดง ความสัมพันธ์ระหว่างการออกกำลังกายและสมาธิ งานวิจัยโดย อาร์เธอร์ กราเมอร์ ศาสตราจารย์
ในภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยอิลินอยส์ ที่ Urbana-Champaign แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่อยู่ในวัย 58-78 ปีที่อยู่มักจะนั่งนาน ๆ ถ้าได้เข้าคอร์สการเดินอย่างกระฉับกระเฉง
จะช่วยให้พวกคนเหล่านี้พัฒนาความสามารถในการเพิกเฉยต่อสิ่งรบกวนต่างๆ ได้ดีขึ้น
และผลอย่างเดียวกันนี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ที่ได้มีโอกาสออกกำลังกายทางจิต (mental exercise) จากการค้นพบก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2007
ของมหาวิทยาลัยเวค ฟอเรส แบ๊บติส เมดดิคอล เซ็นเตอร์ บ่งชี้ว่า
สภาพแวดล้อมที่คนเราต้องทำงานประเภทเป็นกิจวัตรที่ปลอดจากสิ่งรบกวนต่างๆ
จะช่วยให้ผู้ที่ทำงานอยู่ในที่นั้นที่เป็นผู้สูงอายุที่ยังมีสุขภาพดีสามารถพัฒนาสมาธิได้ดี
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า การเล่นเกมส์ต่อศัพท์ (crossword puzzle) ก็สามารถช่วยรักษาผู้ที่มีอาการป่วยเนื่องด้วยการมีสมาธิสั้นได้
ทำอย่างไรที่จะทำให้เรามีสมาธิ? หรือคุณคิดว่าการได้หยุดพักจากงานที่ทำอยู่จะช่วยให้คุณกลับมีสมาธิมากขึ้นได้? ลองพิจารณาดู จากข้อมูลข้างล่างต่อไปนี้
วิธีการอีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยให้คนเราพัฒนาสมาธิในการทำงานของเราให้ยาวมากขึ้นได้ก็เพียงแค่
เรากำจัดความยุ่งเหยิงของใจออกไปให้ได้เท่านั้นเอง ที่บริษัททำประชาสัมพันธ์ Blanchard Schaefer ในมลรัฐเท็กซัส
พนักงานของบริษัทนี้สามารถหลบเข้าไปในห้องที่มีชื่อว่า ห้องในครรภ์ (womb room) ซึ่งเป็นห้องเรียบๆ ว่างๆ ไม่มีระบบคอมพิวเตอร์ใดๆ เพื่อเข้าไปคิดโดยปราศจากการรบกวน แจ๊คสันกล่าว
อีกวิธีที่คุณสามารถทำได้ก็คือ
แค่หันหลังให้กับจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน เพื่อว่าคุณจะได้ไม่ถูกดึงความสนใจไปที่
e-mail ที่ถูกส่งเข้ามาตลอดเวลา ในขณะที่คุณกำลังสนทนากับเพื่อนร่วมงาน
อีกอย่างหนึ่งที่คุณควรรู้ไว้ก็คือว่า สภาพแวดล้อมที่จอแจและแน่นไปด้วยผู้คนแบบในร้านกาแฟ
สตาร์บัคส์ นั้นเป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะสมสำหรับการพูดคุยเรื่องสำคัญๆ
“มันฟังดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา” แจ๊คสันกล่าว
“แต่คุณจะต้องเอาจริงเอาจังในเรื่องการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสมาธิ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่คุณจำเป็นต้องมีสมาธิในการทำอะไรสักอย่างที่สำคัญ
คุณจะต้องไม่ปล่อยให้สภาพแวดล้อมที่คุณต้องการนั้นเกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ”
ที่มา-http://www.forbes.com/forbeslife/health/2008/10/15/short-attention-span-forbeslife-cx_avd_1015health.html?feed=rss_forbeslife_health