จากตอนที่แล้ว พระเจ้าวิเทหราชได้ทรงส่งพระราชบัญชาไปถึงชาวปาจีนยวมัชฌคาม ให้หุงข้าวเปรี้ยวที่ประกอบด้วยองค์แปดมาถวาย ถ้าทำไม่ได้จะทรงปรับสินไหมพันกหาปณะ
ชาวปาจีนยวมัชฌคามได้ฟังข้อบังคับในการหุงข้าวนั้นแล้ว ต่างก็มึนงงไปตามๆกัน ในที่สุดทุกคนจึงมีมติเห็นชอบร่วมกันว่า มโหสถเพียงคนเดียวเท่านั้นจึงจะสามารถแก้ปัญหาพิสดารนี้ได้ จึงพร้อมกันนำปัญหานั้นไปปรึกษามโหสถอีกเช่นเคย
ฝ่ายมโหสถครั้นได้รับฟังปัญหาข้อใหม่ของพระราชา ก็เพียงแต่ยิ้ม ๆ แล้วกล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย อย่าได้กังวลไปเลย เรื่องนี้เรื่องเล็ก ไม่ได้ยากเย็นอะไร” แล้วก็ค่อยๆแนะวิธีหุงข้าวที่ถึงพร้อมด้วยองค์ ๘ โดยแจกแจงทีละข้อๆตามลำดับ

ข้อที่ว่าไม่ให้ผู้ชายหรือผู้หญิงยกมา ก็ขอให้พวกนางกะเทยนำไปทูลเกล้าถวาย ซึ่งในที่สุด ข้าวเปรี้ยวที่หุงเรียบร้อยแล้ว ก็ถูกพวกนางกะเทยลำเลียงไปถวายพระราชาจนถึงท้องพระโรง ครั้นพระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรพวกนางกะเทย ก็ทรงแย้มพระสรวล
ท้าวเธอก็ตรัสถามด้วยพระสุรเสียงแจ่มใสเคล้าพระสรวลว่า “พวกเจ้ามาทำไมกันหรือ ที่นี่ไม่รับเอาชายครึ่งหญิงอย่างพวกเจ้า เข้ามาเป็นนางในหรอกนะ”
พวกนางกะเทยพากันเหนียมอาย พลางกราบทูลว่า “หามิได้เพคะ พวกหม่อมฉันนำพระกระยาเสวย (ข้าว) มาถวายพระองค์เท่านั้น”
ว่าแล้วก็บรรจงแกะด้ายซึ่งผูกห่อผ้าประทับตราอย่างดี ค่อยๆนำภาชนะดินออกมาจากห่อผ้า แล้วนำขึ้นทูลเกล้าถวายแด่พระราชา
ท้าวเธอทรงแปลกใจ รับสั่งถามว่า “นี่ข้าวอะไรหรือ”
“นี้ชื่อว่าข้าวเปรี้ยวเพคะ” นางกะเทยตอ ทันใดนั้น
ท้าวเธอก็ทรงระลึกขึ้นได้ว่า “..นี้คงเป็นข้าวเปรี้ยวที่พระองค์รับสั่งให้ชาวปาจีนยวมัชฌคามหุงมาถวาย” แต่เพื่อให้แน่พระทัย จึงทรงซักว่า “เจ้าได้ข้าวเปรี้ยวนี้มาอย่างไร”

พระเจ้าวิเทหราชทรงคาดไม่ถึง ว่ามโหสถจะสามารถคิดหาอุบายที่ลึกซึ้งได้ถึงเพียงนี้ จึงทรงพระสรวลเบาๆ ด้วยความพอพระทัย พลางรับสั่งกับพวกนางกะเทยเหล่านั้นว่า “เอาล่ะ เราขอบใจมาก พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว จงกลับไปบอกชาวปาจีนยวมัชฌคามให้ทราบโดยทั่วกันว่า ไม่ช้าชาวปาจีนยวมัชฌคามจักมีโอกาสได้สนองงานอีกเป็นแน่” ตรัสดังนี้แล้ว จึงได้ส่งตัวพวกนางกะเทยกลับไป แล้วรับสั่งให้เรียกท่านเสนกะมาเข้าเฝ้า เพื่อปรึกษาหารือถึงอุบายที่จะใช้ทดลองปัญญาของมโหสถในครั้งต่อไป
ต่อมาไม่นาน เหล่าราชบุรุษก็ได้นำพระบรมราชโองการไปประกาศแก่ชาวปาจีนยวมัชฌคามอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง เพราะแม้แต่พระเจ้าวิเทหราชเอง ก็ยังทรงมองไม่เห็นลู่ทางที่จะคลายปมปัญหานี้ได้ เพราะเป็นเหตุที่เกี่ยวเนื่องด้วยสิ่งอันเป็นนามธรรม ที่ไม่อาจสัมผัสหรือจับต้องได้

พระองค์จึงต้องการให้ชาวปาจีนยวมัชฌคามได้ช่วยกันฟั่นเชือกทรายเส้นใหม่มาทำเป็นสายชิงช้า หากไม่สามารถส่งมาได้ ก็จักปรับพันกหาปณะ จริงอยู่ เพียงการผูกปัญหาขึ้นนั้นอาจมิใช่เรื่องยาก แต่การจะแก้ปัญหาให้ได้นั้น เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง โดยเฉพาะปัญหาที่เป็นนามธรรมด้วยแล้ว ไม่ว่าใครก็คงสิ้นปัญญาไปตามๆกัน
ปัญหาของพระราชาในครั้งนี้ก็เช่นกัน ได้สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับชาวปาจีนยวมัชฌคามยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

“แน่ละผู้เฒ่า ใครที่ไหนจะฟั่นทรายให้เป็นเชือกขึ้นมาได้” เสียงหนึ่งขานรับ
“เฮ้อ แย่จริงพวกเรา น่ากลุ้มใจจริง ๆ ปัญหาแต่ละข้อหนักสมองชะมัด” พวกหนุ่มๆพากันบ่นอุบ สีหน้าเริ่มเคร่งเครียด
“แต่เอาเถอะ ถึงยังไงพวกเราก็ยังมีมโหสถเป็นที่พึ่งอยู่ทั้งคน จะไปกลัวอะไร ข้ารับรองว่ามโหสถจะต้องบอกว่าเรื่องเล็กน้อยอีกตามเคย” ท่านผู้เฒ่ายืนยันอย่างมั่นอกมั่นใจ แล้วก็จริงอย่างที่ผู้เฒ่าว่า
มโหสถพอได้ฟังว่าพระราชาทรงประสงค์จะเล่นชิงช้าพรวนทราย ก็นึกในใจว่า “ปัญหานี้จักต้องย้อนถาม” จึงปลอบทุกคนให้อุ่นใจว่า “ท่านทั้งหลายจงเบาใจเถิด ปัญหานี้ไม่ยากอะไรเลย”
ท่านผู้เฒ่าได้ฟังก็ยิ่งถูกใจ จึงพูดขึ้นว่า “นั่นไง พวกท่านเห็นไหมล่ะ ไม่มีอะไรยากสำหรับมโหสถจริงๆ”

มโหสถจึงเรียกบุรุษผู้เป็นตัวแทนของชาวบ้านมา แล้วแนะวิธีย้อนปัญหาโดยละเอียด พร้อมกำชับว่า “ท่านจงจดจำคำของเราให้แม่นยำ หากว่าพระราชาตรัสถามสิ่งใด จงอย่าได้แสดงอาการพรั่นพรึง ขอเพียงแต่กราบบังคมทูลพระองค์ไปตามนี้ ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย” บุรุษผู้เป็นตัวแทนของมโหสถรับทราบอุบายนั้นด้วยความอาจหาญ แต่เหตุการณ์ต่อเบื้องพระพักตร์จะเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)