ทศชาติชาดก
เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
ตอนที่ 198

จากตอนที่แล้ว พระเจ้าจุลนีตรัสตอบว่า “เสด็จแม่ทรงมีพระคุณแก่ฉันมากล้นเกินประมาณนั้น ฉันตระหนักแก่ใจดี แต่พระจริยาวัตรของเสด็จแม่ แม้จะทรงชราภาพแล้ว แต่ก็ยังแต่งองค์ทรงเครื่องที่ไม่เหมาะสมแก่วัยของพระองค์ ทรงโปรดที่จะเสด็จเยื้องกรายไปมาเยี่ยงดรุณวัยสาว
เท่านั้นยังไม่พอ ยังทรงสรวลเสเฮฮากับพวกคนเฝ้าประตูและคนฝึกช้าง ซึ่งคนเหล่านั้นไม่คู่ควรที่พระองค์จะตรัสด้วย และที่ยิ่งกว่านั้น เสด็จแม่ยังทรงสั่งทูตให้ถือสาสน์ในนามของฉัน ไปถวายเจ้าผู้ครองนครประเทศราช มีใจความว่า เสด็จแม่ของหม่อมฉันยังทรงอยู่ในวัยบันเทิงเริงรื่น ขอพระองค์จงเสด็จมารับเสด็จแม่ของหม่อมฉันไปอยู่ด้วยเถิด
พระแม่เจ้าโปรดพิจารณาเถิด เสด็จแม่ทรงมีพระจริยาวัตรเช่นนี้ ฉันควรจะทำอย่างไร ฉะนั้นหากว่าเรื่องที่พระแม่เจ้าสมมติขึ้นมานั้นจะกลายเป็นความจริง ฉันก็แน่ใจว่า เสด็จแม่คงเป็นคนแรกที่ฉันจะส่งให้ผีเสื้อน้ำกิน”
พระแม่เภรีจึงทูลถวายพระพรว่า “หากพระมารดาของมหาบพิตรทรงมีโทษดังที่ได้ตรัสมา ก็เป็นพระดำรัสที่ชอบด้วยเหตุผล แต่พระนางนันทาเทวีนั้นเล่า ทรงเป็นพระชายาผู้ทรงรักและภักดีต่อมหาบพิตรมากเหลือเกิน แต่เหตุไฉน จึงทรงดำริว่าจะทรงส่งพระนางให้ผีเสื้อน้ำกินเสียเล่า ขอถวายพระพร”

กระทั่งพ่อครัวซึ่งหนีเข้ามาอาศัยอยู่ในมัททรัฐ จึงเข้าไปสมัครเป็นพ่อครัวรับใช้ในวัง เมื่อพระเจ้ามัททราชทอดพระเนตรเห็นพระจุลนีราชกุมารนั้น ซึ่งมีรูปร่างสง่างาม ผิวพรรณผุดผ่องผิดกับเด็กธรรมดา และที่เด่นชัดก็คือ ความทะนงตนตามเชื้อสายขัตติยะ เพราะทรงถือพระองค์ว่ายังทรงเป็นกษัตริย์อยู่นั่นเอง และดูเหมือนว่ายิ่งทรงเจริญพระชันษามากขึ้น ความทระนงองอาจในศักดิ์ศรีของกษัตริย์ นับวันก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
นอกจากพระจุลนีราชกุมาร จะได้ธนูเสกข์บุตรพ่อครัวเป็นเพื่อนเล่นคู่พระทัยแล้ว พระกุมารยังทรงสนิทสนมคุ้นเคยกับพระนันทากุมารี พระราชธิดาของพระเจ้ามัททราชมากเป็นพิเศษ เพราะเหตุที่ทั้งสองพระองค์ได้พบปะกันบ่อยๆในสนามเด็กเล่น ซึ่งเป็นกรีฑาสถานที่ให้ความสำราญพระทัยของเหล่าราชบุตรและราชธิดานั่นเอง เมื่อต่างได้เห็นหน้ากันทุกวัน ทั้งพระจุลนีราชกุมารและพระนันทาราชกุมารีก็เริ่มมีพระอัธยาศัยต้องกัน
เมื่อกาลล่วงไป จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ทั้งคู่ต่างทรงเจริญวัยขึ้น พระกุมารก็ทรงมีพระรูปงามสง่าน่าเกรงขาม พระนันทากุมารีนั้นเล่าก็ทรงพระสิริโฉมงดงามเหลือเกิน พระฉวีวรรณผุดผาด พระกิริยาช่างงามสมเป็นขัตติยกุมารี
ดังนั้น จากความสนิทสนมคุ้นเคยระหว่างกัน ก็แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกชอบพอกันเป็นพิเศษ แล้วต่อมาก็ก่อตัวเป็นความรักความสิเน่หาในที่สุด

เหตุที่ทรงกันแสงเช่นนั้น ก็เพราะถูกเจ้าชายจุลนีลงโทษเนื่องจากขัดคำสั่งของเจ้าชายจุลนีที่รับสั่งให้เจ้าหญิงนำลูกข่างพร้อมทั้งสายมาเล่นกันในวันรุ่งขึ้น แต่พอถึงเวลาเล่น เจ้าชายก็ทวงถามถึงลูกข่าง เจ้าหญิงกลับแกล้งเย้าว่า “ถึงมิได้เอามา แล้วเธอจะทำอะไรฉัน”
ด้วยอัธยาศัยที่ทะนงในศักดิ์ไม่ต้องการให้ใครขัดคำสั่ง เจ้าชายจุลนีจึงตรัสว่า “จะทำอะไรหรือ ก็ทำอย่างนี้สิ” ว่าแล้วก็ทรงเขกพระเศียรของพระราชธิดาทันที

“ใครทำอะไรลูกข้า พวกพี่เลี้ยงนางนมหายไปไหนหมด” พระเจ้ามัททราชทรงรับสั่งถามด้วยพระสุรเสียงอันดัง พลางเสด็จลงมาจากพระตำหนัก พวกพี่เลี้ยงนางนมซึ่งปล่อยให้เจ้าหญิงเล่นตามลำพัง ได้ยินพระดำรัสแล้ว ก็รีบวิ่งเข้าไปปลอบโยนเจ้าหญิง พลางทูลถามว่า “โถ...ใครรังแกทูล กระหม่อมเพคะ”
เจ้าหญิงทรงนิ่ง เพราะความรักที่แฝงอยู่ในพระหทัย ทรงดำริว่า “ถ้าเราบอกว่าพี่จุลนีตีเรา พี่จุลนีก็จักต้องถูกพระบิดาของเราลงโทษเป็นแน่ การที่เราถูกพี่จุลนีตี เพียงเท่านี้เรายังพอทนได้ แต่การที่พี่จุลนีต้องถูกลงอาญานั้น เรามิอาจทนได้แน่”

พี่เลี้ยงนางนมจึงนำความขึ้นกราบทูลพระเจ้ามัททราชตามที่เจ้าหญิงตรัสบอก พระเจ้ามัททราชมิได้ทรงเชื่อ แต่ก็มิได้ตรัสพระวาจาใดออกมา พระองค์ทรงบังเกิดความปริวิตกในพระทัยว่า “กุมารนี้มองทีไรก็ไม่เหมือนพ่อครัวเลยสักนิด รูปก็งามน่าเลื่อมใส กิริยาท่าทางช่างองอาจน่าเกรงขามเหลือเกิน ชะรอยกุมารนี้คงไม่ใช่บุตรของพ่อครัวเป็นแน่”
กระทั่งวันหนึ่ง เหล่าพี่เลี้ยงนางนมได้นำเครื่องเสวยกลางวันไปถวายเจ้าหญิงนันทาถึงสนามเด็กเล่น เจ้าหญิงก็ทรงประทานแจกพระสหายที่มา เล่นกัน ณ ที่นั้น สหายทุกคนเมื่อจะรับขนมที่เจ้าหญิงทรงประทานให้ ต่างทำความเคารพเจ้าหญิงเสียก่อน เว้นแต่เจ้าชายจุลนีที่ไม่ยอมทำเช่นนั้น เท่านั้นยังไม่พอ เจ้าชายกลับคว้าขนมไปจากพระหัตถ์ของเจ้าหญิงทันทีโดยไม่รอให้เจ้าหญิงทรงยื่นประทานให้

จนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าชายจุลนีทรงนำลูกข่างไปเล่นถึงบนพื้นพระราชมนเฑียร บังเอิญลูกข่างกลิ้งเข้าไปใต้ที่บรรทมน้อยซึ่งเป็นแท่นประทับพักผ่อนของพระราชา ซึ่งหากเป็นเด็กทั่วไป ก็จะต้องรีบคลานเข้าไปเก็บของ เล่นทันที แต่เจ้าชายจุลนีหาได้ทรงทำเช่นนั้นไม่ ทรงดำริว่า “เราจะไม่เข้าไปใต้ที่บรรทมของพระราชานี้เป็นอันขาด” แล้วก็ทรงเที่ยวหาไม้มาเขี่ยลูกข่างออกจากที่บรรทมน้อย จากนั้นจึงค่อยหยิบลูกข่างขึ้นมา
พระเจ้ามัททราชทรงทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ทรงมั่นพระทัยว่า “จุลนีต้องไม่ใช่ลูกพ่อครัว แต่ต้องเป็นพระโอรสของกษัตริย์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งเป็นแน่”
ทั้งนี้เพราะพระองค์ก็ทรงดำรงอยู่ในฐานะกษัตริย์ ย่อมจะทรงเห็นความประพฤติอันเป็นอัธยาศัยของเหล่ากษัตริย์เป็นอย่างดี ในที่สุดพระองค์จึงตัดสินพระทัยเด็ดขาด รับสั่งเรียกพ่อครัวมาเฝ้า ส่วนว่าพ่อครัวนั้นจะยอมบอกความจริงหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)