Pic_49624

กรมศิลป์คลอด 7 มาตรการล้อมคอกโจรกรรมเศียรพระ และโบราณวัตถุ อาทิ แก้ไข พรบ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ขอแรงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบสิ่งของให้ละเอียดก่อนส่งออกต่างประเทศ ...

เมื่อวันที่ 27 พ.ย. เวลา17.00 น. ที่ห้องประชุมดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร นายเขมชาติ เทพไชย รองอธิบดีกรมศิลปากร กล่าวภายหลังการประชุมหารือเพื่อกำหนดแนวทางป้องกันการลักลอบตัดเศียรพระ และโจรกรรมโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุว่า ที่ประชุมได้หารือ และเห็นชอบมาตรการในการป้องปรามการโจรกรรมโบราณวัตถุ และการลักลอบตัดเศียรพระ ดังนี้
1.แก้ไข พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ในมาตรา 14 และ 19 เพื่อเพิ่มการคุ้มครองโบราณวัตถุให้มีความปลอดภัยจากการถูกโจรกรรมให้ครอบคลุมมากขึ้น
2. ขอความร่วมมือกับบริษัทเอกชนที่ให้บริการส่งพัสดุด่วนพิเศษระหว่างประเทศให้ ตรวจตราการส่งออกสินค้าประเภทโบราณวัตถุและเศียรพระพุทธรูป เนื่องจากปัจจุบันพบว่าร้านค้าโบราณวัตถุบางแห่ง โดยเฉพาะร้านค้าในตลาดนัดจตุจักร จะมีบริการจัดส่งโดยไม่ได้ขออนุญาตจากกรมศิลปากร รวมทั้งขอความร่วมมือกับกรมศุลกากรในการตรวจสอบพัสดุที่ส่งออกไปยังต่างประเทศให้ละเอียดมากขึ้น เพราะพบว่าส่วนใหญ่การส่งออกโบราณวัตถุจะเป็นการสำแดงรายละเอียดเป็นเท็จ เช่น แจ้งว่าเป็นโต๊ะ เก้าอี้ หรือเฟอร์นิเจอร์
3. จัดทำสติ๊กเกอร์ และแผ่นผับ ให้ความรู้เกี่ยวกับข้อห้ามและขั้นตอนการขออนุญาตส่งออกโบราณวัตถุ
4.จัดอบรมหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะร้านค้าโบราณวัตถุในเขต กทม.และปริมณฑล
5. การลงพื้นที่ตรวจสอบใบอนุญาตร้านค้าโบราณวัตถุอย่างเข้มงวดทั่วประเทศ
6. เฝ้าระวังช่องต่างๆในการค้าโบราณวัตถุ อาทิ ทางเว็บไซต์และขอความร่วมมือกับกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ไอซีที) ปิดเว็บไซต์ที่ลักลอบค้าโบราณวัตถุ รวมทั้งเฝ้าระวังงานประมูลสินค้าโบราณวัตถุด้วย และ 7. ร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และมหาเถรสมาคม (มส.) ในการช่วยกันปราบปรามการค้าโบราณวัตถุ

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีมติให้เสนอต่อนายเกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร ออกประกาศห้ามจำหน่าย ส่งออกและนำเข้าโบราณวัตถุ โดยเฉพาะเศียร หรือส่วนตัดใดๆ ของพระพุทธรูป โดยกำหนดรายละเอียดให้ชัดเจน เช่น อายุของพระพุทธรูปที่ห้ามค้าขายหรือส่งออก เพื่อเป็นการป้องกันการนำชิ้นส่วนของพระพุทธรูปออกนอกประเทศ และไปประดับในพื้นที่ไม่เหมาะสม อีกทั้ง ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับมาตรการการดูแลโบราณวัตถุ พระพุทธรูปที่ขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากร และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เนื่องจากปัจจุบันโบราณวัตถุที่ได้ประกาศขึ้นทะเบียนกลายเป็นบัญชีใบสั่งของนักสะสม เพราะแต่ละชิ้นจะมีการระบุรายละเอียดอย่างชัดเจน โดยเฉพาะแหล่งที่อยู่ของโบราณวัตถุชิ้นนั้น ส่งผลให้คนร้ายตามไปโจรกรรมได้ง่าย

ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นตรงกันว่าผู้รับผิดชอบดูโบราณวัตถุที่ขึ้นทะเบียนต้องเข้มงวดในการดูแลเพิ่มมากขึ้น อย่างไรข้อดีของการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ก็คือหากโบราณวัตถุชิ้นดังกล่าวหายไปก็จะมีหลักฐานและข้อมูลชัดเจนในการติดตามกลับคืนมา

นายเขมชาติ กล่าวว่า สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ได้รายงานประเภทของโบราณวัตถุที่มักถูกโจรกรรมบ่อย อาทิ พระพุทธรูป, เทวรูป, หน้าบัน, คันทวย, บานประตูอุโบสถ, ตู้พระธรรม, บานประตูตู้พระธรรม, ธรรมาสน์, สัตตภัณฑ์, ใบเสมา และชิ้นส่วนตกแต่งโบราณสถาน รวมทั้งได้รายงานจังหวัดที่โบราณศิลปวัตถุ ถูกโจรกรรมมากที่สุด โดยแบ่งตามภูมิภาค ดังนี้ ภาคกลาง จ.พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี กรุงเทพฯ ชัยนาท สมุทรปราการ ลพบุรี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ร้อยเอ็ด นครราชสีมา อุดรธานี อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ เลย มุกดาหาร ขอนแก่น ส่วนภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร ลำปาง พะเยา ภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช ปัตตานี และภาคตะวันออก จ.ปราจีนบุรี ตราด

นอกจากนี้ ยังได้รายงานว่าในปี 2552 จำนวนร้านค้าโบราณวัตถุและศิลปวัตถุที่ยื่นขอใบอนุญาตค้าโบราณวัตถุทั่วประเทศ จำนวน 332 ร้าน แบ่งเป็นเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ร้านค้าโบราณวัตถุ 95 ร้าน และร้านค้าศิลปวัตถุ 81 ร้าน รวม 176 ร้าน ส่วนในต่างจังหวัด 156 ร้าน ดังนี้ จ.เชียงใหม่ 82 ร้าน จ.สระแก้ว 15 ร้าน จ.ปราจีนบุรี 1 ร้าน จ.ชลบุรี 2 ร้าน จ.อุบลราชธานี 1 ร้าน และภูเก็ต 55 ร้าน.

 
ที่มา-น.ส.พ.ไทยรัฐออนไลน์
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง