
ทศชาติชาดก
เรื่อง มหาชนก ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี ตอนที่ 10
จากตอนที่แล้ว พวกอำมาตย์ได้พากันคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถจะครองราชย์สมบัติ ตามรับสั่งของพระราชาก่อนสวรรคต โดยเห็นว่าท่านเสนาบดีเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดของพระราชา คงสามารถทำให้พระราชธิดายินดีได้ จึงให้ท่านเสนาบดีทดสอบความสามารถก่อนใคร แต่แล้วก็ถูกพระราชธิดาทำให้อับอายกลับมา
ผลสุดท้ายเมื่อไม่มีใครสามารถทำให้พระราชธิดาทรงยินดีได้ จึงให้ทดลองความสามารถด้านอื่น โดยเปิดโอกาสให้ทดลองยกธนูที่มีน้ำหนักพันแรงคนยก ก็ไม่มีใครยกขึ้นได้ ให้บอกหัวนอนของพระแท่นบรรทมสี่เหลี่ยม และให้หาขุมทรัพย์ ๑๖ แห่ง ก็ไม่มีใครบอกได้ถูกต้อง

เหล่าอำมาตย์เมื่อไม่เห็นวิธีไหนที่จะดีกว่านี้แล้ว จึงพร้อมใจกันทำตามคำของท่านปุโรหิต โดยการเทียมม้าอาชาไนย ๔ ตัว ซึ่งมีขนขาวดุจดอกโกมุท ลาดผืนพรมอันวิจิตรไว้บนรถ จัดตั้งเบญจราชกกุธภัณฑ์ (เบญ จะ ราด ชะ กะ กุ ธะ พัน) คือ เครื่องทรงของพระราชาทั้ง ๕ ไว้พร้อม ( พระมงกุฎ พระภูษา พระแสงขันธ์ ธารพระกร ฉลองพระบาท)
จากนั้น พวกอำมาตย์ และข้าราชบริพารซึ่งแวดล้อมด้วยจตุรงคเสนา มีเครื่องดนตรีคอยประโคมนำหน้าเข้าประจำที่เพื่อเตรียมติดตามราชรถที่จะถูกปล่อยออกไป

ผุสสรถทำประทักษิณพระราชนิเวศน์ 3 รอบ แล้วขึ้นสู่ถนนใหญ่ แล่นออกจากพระราชนิเวศน์ทางประตูด้านทิศตะวันออกไปเรื่อยๆ
เหล่าอำมาตย์และเสนาบดีผู้มีศักดิ์ใหญ่ทั้งหลาย ต่างมีความหวัง ได้
อธิษฐานว่า “ขอให้ผุสสรถจงมาจอดอยู่หน้าบ้านของเราเถิด”

แต่ผุสสรถก็แล่นล่วงเลยเคหสถานหลังแล้วหลังเล่า เมื่อผุสสรถทำประทักษิณรอบพระนครแล้ว ก็วิ่งออกทางประตูด้านทิศตะวันออก บ่ายหน้าตรงไปยังพระราชอุทยานทันที
ชาวเมืองเห็นว่า ผุสสรถวิ่งรอบพระนครแล้ว ก็ยังไม่สามารถหาผู้ที่จะมาครองราชย์ได้ จึงปรึกษากันว่าควรจะหยุดผุสสรถไว้ เพราะไม่ควรให้วิ่งออกไปนอกพระนคร
แต่ปุโรหิตก็ห้ามชาวพระนครไว้ ปล่อยให้ผุสสรถแล่นต่อไป โดยกล่าวว่า ถึงจะแล่นไปสิ้นร้อยโยชน์ก็อย่าให้กลับ จนกว่าจะพบผู้มีบุญบารมี

ปุโรหิตเห็นพระโพธิสัตว์บรรทมหลับอย่างสบาย จึงเรียกเหล่าอำมาตย์มาแนะนำว่า “บนแผ่นศิลามงคลนี้ มีบุรุษหนุ่มนอนหลับอยู่ แต่ว่าพวกเรายังไม่รู้ว่าเขาจะมีปัญญาสมควรแก่เศวตฉัตรหรือไม่...

แต่ถ้าเป็นคนไม่มีปัญญา ไม่คู่ควรแก่เศวตฉัตรก็จะตกใจกลัว ลุกขึ้นมองดูพวกเราแล้วรีบหนีไป พวกท่านจงประโคมดนตรีขึ้นเถิด”
เมื่อดนตรีถูกประโคมขึ้น เสียงของดนตรีนับร้อยชิ้นได้ดังสนั่นหวั่นไหว แม้เสียงนั้นจะดังก้องไปทั้งพระนคร แต่ก็ไม่ได้ทำให้พระหฤทัยของพระมหาชนกโพธิสัตว์หวั่นไหวเลย ยังคงบรรทมหลับอย่างมีความสุข

จากนั้นก็คลุมพระเศียรเหมือนเดิม ไม่ทรงสนพระทัยพวกเหล่าอำมาตย์หรือมหาชนที่กำลังมุงดู ทั้งยังทรงพลิกพระวรกายไปทางด้านซ้าย
ปุโรหิตจึงเปิดผ้าที่คลุมพระบาทของพระโพธิสัตว์ เพื่อตรวจดูพระลักษณะ ครั้นตรวจดูแล้วก็ประกาศว่า “อย่าว่าแต่ทวีปเดียวเลย ท่านผู้นี้เป็นผู้เปี่ยมล้นด้วยบุญญาบารมี สามารถครองราชสมบัติแม้ในมหาทวีปทั้งสี่”
กล่าวดังนี้แล้วก็ให้ประโคมดนตรีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นการสดุดีและนอบน้อมต่อพระโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์ทรงเปิดพระพักตร์อีกครั้ง แล้วพลิกพระองค์กลับมาบรรทมข้างขวา ทอดพระเนตรมหาชน

พระโพธิสัตว์ตรัสถามปุโรหิตว่า “พระราชาของพวกท่านเสด็จไปไหน ครั้นทราบว่าสวรรคตแล้ว จึงตรัสถามว่า พระราชโอรสหรือพระราชภาดาของพระราชาไม่มีหรือ”
เมื่อได้ทราบเรื่องราวทุกอย่างจากปุโรหิตแล้ว จึงรับสั่งว่า “ถ้าอย่างนั้น ก็ดีแล้ว เราจักครองราชสมบัติเอง” ครั้นตรัสแล้ว ก็ได้เสด็จลุกขึ้นประทับนั่งบนแผ่นมงคลศิลา

เหล่าอำมาตย์ปุโรหิตและมหาชน เมื่อเห็นสิริลักษณะของพระโพธิสัตว์แล้ว และเมื่อทราบว่าบุรุษหนุ่มผู้มีความสง่างามนี้ คือ โอรสของอดีตพระเจ้าอยู่หัวของตนเอง ต่างก็พร้อมใจกันอภิเษกพระโพธิสัตว์เป็นพระราชาในพระราชอุทยานในวันนั้น ส่วนเรื่องราวที่พระมหาชนกราชจะทรงทำให้พระราชธิดาทรงยินดีได้อย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
โดย : หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)