ทีมนักวิจัยของสถาบันการวิจัยทางมรดกวัฒนธรรมแห่งชาติตั้งอยู่ในกรุงโตเกียวกำลังจะออกเดินทางในวันพฤหัสบดีนี้
เพื่อไปช่วยปรับปรุงและอนุรักษ์ภาพศิลปะฝาผนังที่อยู่ในหมู่ถ้ำที่มีชื่อเรียกว่า อจันตะ
(Ajanta)
ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศอินเดีย
ถ้ำหินเหล่านี้เป็นวัดทางพระพุทธศาสนาที่สร้างขึ้นบนที่ราบสูงของอินเดีย
ทีมนักวิจัยเชื่อว่า วัดที่พบในถ้ำเหล่านี้มีการก่อสร้างเป็น2เฟส
โดยการก่อสร้างในเฟสแรกนั้นน่าจะอยู่ในราวศตวรรษที่ 1-2 ก่อนคริสตศักราช การก่อสร้างในเฟสที่สองนั้นน่าจะมีขึ้นในระหว่างศตวรรษที่
5-6 ก่อนคริสตศักราช
ส่วนวันเวลาที่แน่นอนนั้นยังไม่ทราบแน่ชัดในขณะนี้
ถ้ำเหล่านี้ถูกค้นพบเมื่อปี
1819 โดยเจ้าหน้าที่ชาวอังกฤษท่านหนึ่ง ในขณะกำลังไล่ล่าเสือในภาคพื้นแห่งนี้
และในปี 1983 ทางยูเนสโก ได้จดทะเบียนให้ถ้ำเหล่านี้เป็นสถานที่มรดกโลก
ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีทีมงานชาวญี่ปุ่นเข้าร่วมในกิจกรรมการอนุรักษ์และปฏิสังขรณ์สถานที่ที่เป็นมรดกโลกในประเทศอินเดีย ก่อนหน้านี้สถาบันวิจัยของญี่ปุ่นแห่งนี้ก็เคยร่วมมือในโครงการปฎิสังขรณ์โบราณสถานที่เมืองบามิยัน
(Bamiyan) ประเทศอัฟกานิสถาน และที่เมืองดันฮวน (Dunhuang)
ประเทศสาธารณประชาชนจีน อยู่หลายโครงการด้วยกัน
มีความหวังกันไว้ว่า การสำรวจวิจัยเพื่อการปฏิสังขรณ์หมู่ถ้ำหินในครั้งนี้จะนำไปสู่การค้นพบความเชื่อมโยงกันของภาพเขียนบนฝาผนังของที่นี่กับภาพเขียนบนฝาผนังในที่แห่งอื่นๆ
ที่มีอยู่ในทวีปเอเชีย ซึ่งรวมถึง ภาพเขียนที่วัดโฮร์ยูจิ (Horyuji) ที่อำเภอนาราด้วย
ภาพตามฝาผนังและเพดานภายในถ้ำอจันตะ เป็นการพรรณาเรื่องพุทธประวัติโดยใช้เทคนิคการวาดภาพ
และภายในถ้ำเหล่านี้ยังเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของอินเดียอีกด้วย
ทีมนักวิจัยทีมนี้ยังจะได้ทำการวิจัยถ้ำอีก
2 แห่งภายในอาณาเขตของพื้นที่ถ้ำทั้งหมด 30 แห่ง ภายในระยะเวลา 2 ปี
ภาพเขียนบนฝาผนังได้รับการบูรณะไปแล้วเมื่อปี
1920 โดยนักปฏิสังขรณ์ชาวอิตาเลียน โดยใช้วิธีการฉาบทาน้ำมันวานิชลงบนพื้นผิวของฝาผนังถ้ำ
แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ น้ำมันวานิชนั้นได้ไปทำให้สีดั้งเดิมของภาพเขียนเปลี่ยนไป
และเป็นที่เกรงกันว่า น้ำมันวานิชนั้นไปทำให้ความชื้นที่มีอยู่ในเนื้อผนังถ้ำไม่สามารถระเหยออกมาได้
ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากความเสื่อมถอยลงของพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย
ทำให้ถ้ำหินเหล่านี้ถูกปล่อยปละละเลยมาเป็นเวลายาวนาน สภาพถ้ำกลายเป็นที่อยู่อาศัยของพวกค้างคาว
มูลค้างคาวรวมกับแบคทีเรียได้ก่อให้เกิดปัญหาหลายประการในขณะนี้
ทีมนักวิจัยจะพยายามวิเคราะห์สภาพของภาพเขียนเหล่านี้โดยใช้วิธีการวิเคราะห์สีที่ใช้เขียนภาพเหล่านี้
และจะพยายามอย่างเต็มที่ในอันที่จะลอกน้ำมันวานิชที่ฉาบทาพื้นผิวผนังถ้ำออกมาให้ได้
ในฤดูใบไม้ร่วงนี้ ทางทีมวิจัยคาดว่า
จะทำการวัดขนาดของถ้ำต่างๆ เนื่องจากว่าในขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องใดๆ อยู่เลย
การสำรวจในครั้งนี้จะนำโดยผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ด้านวัฒนธรรมท่านหนึ่งชื่อ
Kosaku Maeda ศาสตราจารย์เกษียณอายุแล้วของมหาวิทยาลัย Wako University
“การสำรวจในครั้งนี้ เราจะสามารถค้นพบได้ว่า
ความเชื่อในเรื่องทั่วๆ ไปที่ปรากฎอยู่ในศิลปะภาพเขียนบนฝาผนังต่างๆ
ในที่แห่งนี้กับที่ปรากฎอยู่ในศิลปะภาพเขียนฝาผนังที่วัดโฮร์ยูจิ (Horyuji Temple) ที่ถือว่า เป็นสไตล์แบบนานาชาติ ได้รับอิทธิพลจากที่นี่หรือไม่”
ศาสตราจารย์ Maeda กล่าว
ที่มา-http://www.yomiuri.co.jp/dy/national/20090212TDY03001.htm