คำถามทั่วๆ ไปเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2009 –เลม ชีเฟน แซงโป (Lam Shephen Zangpo) ตอบคำถามเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่ ชาย หญิง รวมถึง เด็ก ด้วย ที่เป็นชาวภูฐานคนเดินถนนทั่วๆ ไปต้องการจะรู้

การปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาช่วยพัฒนาโลกนี้ได้อย่างไร? มันจะไม่ดีกว่ารึ ที่เราจะใช้เวลาในชีวิตของเราไปในการฝึกตัวเองให้เป็นแพทย์รักษาคนป่วย หรือเป็นครูสอนคนให้มีวิชาความรู้ หรือทำอาชีพอย่างอื่นๆ?

คำถามข้างต้นนี้เป็นคำถามที่ทุกคนอยากได้คำตอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ที่เกี่ยวกับการที่พระภิกษุและพวกโยคียอมละทิ้งสังคมแล้วไปใช้ชีวิตปลีกวิเวกอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ที่เงียบสงบ ตามมุมมองของชาวพุทธโดยทั่วไปแล้ว อะไรก็ตามที่สามารถช่วยลดความทุกข์ในชีวิตของคนเราได้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและคู่ควรแก่การสรรเสริญ ดังนั้นอาชีพแพทย์และอาชีพครูจึงได้รับการยอมรับและยกย่องในสังคม

แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า การที่คนเรามีการศึกษาดี ได้รับการดูแลด้านการสาธารณสุขที่ทันสมัย นั่นไม่ได้หมายความว่า คนๆ นั้นจะปลอดความทุกข์ในชีวิตได้  ในขณะเดียวกันพระพุทธศาสนาก็ไม่ได้ปฏิเสธความก้าวหน้าและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพียงแต่วิชาเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เราควรจะไปทุ่มเวลาทั้งหมดให้  ในทางการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาเราจะมุ่งเน้นไปที่ต้นกำเนิดของความคิดและอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น–นั่นคือ ใจ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนๆหนึ่งซึ่งมีตัวเลขเงินฝากในบัญชีธนาคารจำนวนมาก คนๆ คนนี้ควรจะเป็นคนที่มีความสุขในชีวิต แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป ในโลกที่มีความก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจมากๆ ได้พิสูจน์ให้เห็นเป็นประจักษ์แล้วว่า ถึงแม้ว่า ชนกลุ่มใหญ่ของสังคมในประเทศดังกล่าวที่ว่านั้นจะมีความสะดวกสบายทางด้านวัตถุมากมาย แต่สังคมเหล่านั้นกลับมีอัตราของอาชญากรสูง มีพฤติกรรมการต่อต้านสังคมมาก และมีปัญหาเรื่องยาเสพติดมากด้วย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า จิตใจของคนในสังคมนั้นไม่มีความสงบ

วัตถุสิ่งของเป็นสิ่งที่ไม่ถาวร นับจากวินาทีที่เราเป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้มันก็เริ่มแปรเปลี่ยนสภาพไปเรื่อยๆ ไปสู่จุดเสื่อมสลาย ท้ายที่สุดมันก็จากเจ้าของมันไป ทิ้งไว้แต่ความรู้สึกแห่งการพลัดพรากไว้กับตัวผู้เป็นเจ้าของและสร้างความรู้สึกทะยานอยากในสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น เหมือนการดื่มน้ำเกลือ มันอาจจะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นในตอนต้น แต่มันจะไม่สามารถกำจัดความกระหายของเราได้โดยสิ้นเชิง ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าชีวิตปราศจากปัญญา แม้ว่าคนเราจะมีเงินในบัญชีธนาคารจำนวนมาก มันก็สามารถกลายเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์แก่เราได้ ด้วยการทำให้เราวิตกกังวลว่า อาจจะสูญเสียมันไป หรืออยากได้มันมากเพิ่มขึ้นไปอีก

ยกตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่งเกี่ยวกับ สิ่งที่มีอำนาจเหนือจิตใจคนเราที่เป็นตัวควบคุมอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ เป็นต้นว่า เมื่อคนเรามีใจที่สงบ เวลามองดูพระอาทิตย์ที่ส่องสว่างและนกที่กำลังร้องเพลง เราจะรู้สึกว่า สิ่งเหล่านี้คือ ที่มาแห่งความสุขของเรา อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่กำลังถูกคุกคามด้วยความรู้สึกวิตกกังวลหรือความโกรธ พระอาทิตย์อาจจะให้ความรู้สึกที่ร้อนอบอ้าว และเสียงนกร้องอาจจะเป็นตัวก่อให้เกิดความรำคาญขึ้นในจิตใจ สิ่งภายนอกนั้นเหมือนกัน แต่เนื่องด้วยสภาวะทางจิตใจที่แตกต่างกัน ทำให้คนเรารับรู้สิ่งภายนอกที่มากระทบในมุมมองที่แตกต่างกันไปโดยสิ้นเชิง

บางคนอาจจะโต้แย้งว่า สภาวะทางจิตใจของคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงได้ง่ายเพียงแค่ประสบปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ต่างๆ นาๆ และมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะมีความสุขได้ในสภาวะที่กำลังเผชิญหน้ากับความยากลำบากที่หนักหนาสาหัสในชีวิต สิ่งนี้ไม่เป็นความจริงเสมอไป เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ได้มีรายงานชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับพระทิเบตผู้ซึ่งได้ถูกนำตัวไปทรมานและบ่อยครั้งที่ท่านถูกขังเดี่ยว ถึงแม้ว่า ท่านจะได้รับความทุกข์ยากมากถึงปานนั้น ท่านก็ไม่ได้แสดงออกให้เห็นถึงความปวดร้าวหลังจากที่ท่านได้รับการปล่อยตัวออกมา ในทางตรงข้ามเมื่อท่านถูกถามว่า ท่านรู้สึกกลัวหรือไม่ ท่านเพียงแค่ตอบอย่างถ่อมตัวว่า ท่านเพียงแค่รู้สึกกลัวว่า ตัวท่านเองจะสูญเสียความเมตตาที่มีต่อผู้ที่จับตัวท่านไป นี่แหละคืออานุภาพของใจล่ะ

ดังนั้นเราจึงมักจะได้เห็นนักธุริกิจในชุดสูทราคาแพงที่หน้านิ่วคิ้วขมวดเดินผ่านขอทานข้างถนนในชุดเหมือนผ้าขี้ริ้วที่มีใบหน้ายิ้มแย้ม นี่ไม่ใช่กำลังพูดว่า คุณไม่สามารถที่จะเป็นคนร่ำรวยและมีความสุขไปพร้อมๆ กันได้ คุณสามารถเป็นได้แน่นอน เพียงแต่เรากำลังพูดว่า วัตถุสิ่งของไม่ใช่แหล่งแห่งความสุข วัตถุเป็นเพียงของชั่วคราวมีการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา ดังนั้นมันจึงสามารถเพียงแค่นำความพอใจมาให้เราเพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ความสุขภายในนั้นเป็นผลมาจากปัญญา สิ่งนี้ไม่ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกกายใดๆ ดังนั้นมันจึงคงทนและไม่มีวันหมดไป

ดังนั้นหนทางเดียวที่เราจะสามารถเอื้อประโยชน์ให้กับทุกคนในระดับที่ลึกซึ้งกว่าที่เป็นอยู่ได้ก็คือ การที่สอนให้ทุกคนรู้วิธีที่จะพัฒนาปัญญาที่จะนำมาซึ่งความสุขภายในได้ คนที่มีปัญญาจะเห็นความเป็นจริงของชีวิตและเมื่อถึงจุดนั้นคนเราจะไม่ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกอีกต่อไป โดยทั่วไปแล้ว คนเราทุกคนก็เหมือนกับเด็กๆ ที่กลัวพวกนักเต้นรำที่สวมหน้ากากในงานทีชู (Tsechu) เพราะเด็กไม่เข้าใจว่า ท่าทางที่นักเต้นรำเหล่านั้นแสดงออกมานั้นไม่ใช่ของจริง การฝึกปฏิบัติแบบชาวพุทธสอนเราให้รู้จักที่จะกระชากหน้ากากนั้นจากนักเต้นรำ แล้วเผยให้เห็นตัวตนที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากนั้น และจากวินาทีนั้นเป็นต้นมา เราจะไม่รู้สึกหวาดกลัวนักเต้นรำพวกนั้นอีกต่อไป ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ การกระทำของเราจะถูกต้องและเป็นไปด้วยความสงบ

พระพุทธศาสนานอกจากก่อให้เกิดความสงบแก่ทุกคนแล้ว ยังช่วยเหลือโลกโดยรวมอีกด้วย ยกตัวอย่างในเรื่องของสภาวะโลกร้อนที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ มันได้ข้อสรุปโดยปราศจากข้อสงสัยไปเรียบร้อยแล้วว่า มลภาวะนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดปรากฎการณ์นี้ขึ้น ผลที่ตามมาก็คือ ได้มีข้อตกลงร่วมกันจำนวนมากที่ได้รับการลงนามเห็นชอบเพื่อต้องการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนที่ปกคลุมโลก พระพุทธองค์อาจจะทรงปรบมือให้กับการกระทำดังกล่าว แต่พระองค์จะต้องทรงเห็นล่วงหน้าออกไปอีกขั้นแล้วว่า สาเหตุของมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมที่มาจากโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหลายแหล่นั้นน่ะมาจากอวิชชาในจิตใจคนเรานี่เอง อวิชชานี้เปรียบเสมือนตับหรือไตของคนเราที่วางยาพิษให้กับร่างกายของตัวเราเองได้อย่างแนบเนียนโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัวว่าอวัยวะทั้งสองนี้เป็นส่วนหนึ่งของตัวการทั้งหมด และเมื่อระบบของร่างกายทั้งหมดล้มเหลว อวัยวะทั้งสองนี้ก็ล้มเหลวด้วย ในทางตรงข้ามสำหรับคนที่ได้ซึมซับความเข้าใจในเรื่องการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันที่สั่งสอนโดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนๆ คนนั้นจะไม่สามารถทำร้ายสิ่งแวดล้อมเหมือนกับที่มือซ้ายและมือขวาไม่อาจจะทำร้ายกันได้ เพราะทั้งสองมือต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันนั่นเอง

ดังนั้นขอย้อนกลับไปตอบคำถามข้างต้นดังนี้คือ การปฏิบัติทางพระพุทธศาสนามีผลต่อสังคมและโลกใบนี้โดยตรงในเชิงบวก เพราะว่า มันเป็นการปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นมาสู่ความเป็นจริง และผลจากที่เรารับรู้ความเป็นจริงนี้เองที่ทำให้คนเรากลายเป็นคนที่มีคุณธรรมและมีเหตุผลได้โดยธรรมชาติ

 

 

 

 

ที่มา-http://www.kuenselonline.com/modules.php?name=News&file=article&sid=11946

 

 

 
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง