
ทศชาติชาดก
เรื่อง พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ตอนที่ 2
จากตอนที่แล้ว ได้เกริ่นนำว่า ชีวิตนี้เราสามารถเลือกเรียน เลือกทำงานในอาชีพอะไรก็สุดแท้แต่เราจะชอบใจ แต่วิชาชีวิตนั้นเรายังไม่ค่อยทราบเลยว่า ต้นแบบชีวิตที่ดีที่สุดนั้นเป็นเช่นไร จะเลือกดำเนินชีวิตอย่างไร ชีวิตจึงจะมีคุณค่าสูงสุด พร้อมกับมีคำแนะนำว่า ผู้ประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิตนั้น ไม่มีใครเกินพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงควรศึกษาอดีตชาติของพระองค์ว่า พระชาติที่ผ่านมา พระองค์มีหลักการในการดำเนินชีวิตอย่างไร

ผู้ที่ปรารถนาไม่ว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์สาวก ต่างก็ต้องสร้างบารมีด้วยกันทั้งหมด เพียงความเข้มข้นลดลงมาตามส่วนแห่งความปรารถนาของตน หากไม่สร้างบารมีก็หมดสิทธิ์ที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้
ดังนั้นจึงนำเสนอเรื่องพระเตมีย์ พระชาติที่ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมีก่อน เพราะเป็นชาติที่ทรงบำเพ็ญบารมีข้อที่ทำได้ยาก เป็นการสวนกระแสกิเลสของชาวโลกเป็นอย่างยิ่ง โดยได้เล่ามาถึงตอนที่ภิกษุทั้งหลายทูลถามพระพุทธองค์ว่า ในกาลก่อนที่พระองค์ยังบำเพ็ญบารมีอยู่นั้น ได้สละราชสมบัติเสด็จออกบวช มีเรื่องราวเป็นอย่างไร ขอพระองค์โปรดทรงแสดงให้แจ่มแจ้งด้วยเถิด


เหตุที่พระเจ้ากาสิกราชทรงดำริเช่นนั้น เป็นเพราะว่า ในจำนวนพระสนมหนึ่งหมื่นหกพันนางของพระองค์ ไม่มีแม้แต่คนเดียว ที่ให้กำเนิดรัชทายาทแก่พระองค์ แม้แต่พระนางจันทาเทวี ผู้เป็นพระอัครมเหสีของพระองค์เอง ก็ยังมิอาจประสูติพระราชโอรสหรือพระราชธิดาเพื่อพระองค์ได้เลย

ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อทรงเห็นชาวเมืองมาชุมนุมกันอย่างนี้ ก็ยิ่งไม่สบายพระทัย จึงตรัสเรียกให้ มุขอำมาตย์และข้าราชบริพารใกล้ชิดเข้าเฝ้าโดยด่วน แล้วตรัสถามว่า พวกชาวเมืองมาชุมนุมกันเรื่องอะไรหรือก็ทรงได้รับรายงานเป็นเบื้องต้นว่า ชาวเมืองปรารถนาให้พระองค์ทรงมีพระโอรส เมื่อทรงสดับดังนั้นก็ทรงแคลงพระทัยว่าไม่น่าจะใช่นะ เราจะมีโอรสหรือไม่มีก็เรื่องของเรา ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไรชาวเมืองเลย จึงทรงรับสั่งว่า “มาเถิดท่านทั้งหลาย เราจะไปฟังด้วยหูของเราว่า พวกเขาเดือดร้อนในเรื่องอะไรกันแน่”
จึงรีบเสด็จออกจากพระตำหนักใน ไปถึงที่ประชุมของปวงประชาทั้งหลายแล้ว ทรงประทับนั่งบนพระราชอาสน์อันเป็นสถานที่รับร้องทุกข์ของชาวเมืองแล้วตรัสถามว่า “พวกท่านมาประชุมกันด้วยเรื่องอันใดหรือ” ชาวเมืองพากันกราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์ทั้งหลายต่างมีความทุกข์ร้อน ที่เห็นพระองค์ยังไม่ทรงมีพระราชโอรสเลย พระเจ้าข้า”
“เพราะเหตุอันใด พวกเจ้าถึงต้องทุกข์ร้อนแทนเราด้วยเล่า”
“ขอเดชะ พวกข้าพระองค์เกรงว่า ต่อไปภายภาคหน้า หากไม่มีองค์รัชทายาทขึ้นเสวยราชสมบัติสืบต่อไปแล้ว บ้านเมืองก็จะระส่ำระสาย เพราะไร้พระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นมิ่งขวัญเช่นเดียวกับพระองค์ ...เพราะเหตุนั้น พวกข้าพระองค์จึงมาประชุมกันในที่นี้ เพื่อขอให้พระองค์จงทรงพระกรุณาตั้งจิตอธิษฐานปรารถนาพระโอรสด้วยเถิด พระเจ้าข้า”
ครั้นพระราชาทรงสดับคำกราบทูลของชาวเมืองแล้ว ท้าวเธอทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แววพระเนตรอ่อนลง ด้วยทรงเป็นปมด้อยอยู่ในใจ ว่าแม้ครองราชย์มานานแล้ว ก็ยังไม่มีโอรสหรือธิดาแม้เพียงพระองค์เดียว ทรงนึกถึงความจริงในข้อนี้แล้ว พระพักตร์ก็หมองเศร้าลงทันที จึงรับสั่งด้วยพระสุรเสียงแผ่วเบาว่า
“เรื่องนั้น ขอให้เป็นหน้าที่ของเราเถิด”

“บัดนี้ ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะมีพระโอรสได้แล้ว พวกเจ้าจงตั้งความปรารถนาเพื่อให้กำเนิดพระโอรสให้แก่เราด้วยเถิด” แล้วมีพระบัญชาให้พราหมณาจารย์ทั้งหลายเข้าเฝ้า รับสั่งจัดพิธีบวงสรวงเทพยดาฟ้าดินเพื่อขอพระราชโอรสสืบราชสมบัติในทันที
พระสนมนารีและพราหมณ์เหล่านั้น เมื่อรับพระราชโองการแล้ว ต่างก็รีบไปทำพิธีบวงสรวงอ้อนวอนต่อเทวดาที่ตนนับถือ บ้างก็ทำพิธีบนบานต่อพระจันทร์และพระอาทิตย์เพื่อขอพระโอรส แต่แม้จะล่วงไปนานหลายเดือนแล้ว พระสนมเหล่านั้นก็ยังไม่อาจทำความปรารถนาให้สำเร็จได้
ฝ่ายพระนางจันทาเทวี อัครมเหสีของพระเจ้ากาสิกราช ทรงเป็นสตรี
ผู้เพียบพร้อมด้วยศีลและงดงามด้วยกิริยามารยาท เมื่อทราบว่า พระราชสวามีประสงค์พระราชโอรส จึงเกิดอุตสาหะอย่างแรงกล้า ในการที่จะให้จะทำให้พระองค์สมพระราชหฤทัย จึงดำริว่า
“เว้นบุญเสียแล้ว สิ่งอื่นที่จะเป็นที่พึ่งในยามนี้ ไม่มีเลย”

จากนั้นจึงทรงระลึกถึงศีลของพระองค์ด้วยความปีติโสมนัส แล้วทรงตั้งสัจจอธิษฐานว่า
“ข้าพเจ้ารักษาศีลด้วยความบริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่มีด่างพร้อยเลยแม้แต่น้อย ตลอดวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ด้วยสัจจวาจานี้ ขอบุตรจงบังเกิดแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด”
ด้วยอำนาจแห่งอุโบสถศีล และสัจจอธิษฐานของพระนางจะเกิดผลประการใด จะร้อนไปถึงเทวดาองค์ใดหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป
โดย : หลวงพ่อธัมมชโย